วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดเอ็นฯ


เคล็ดเอ็นฯ .. เอ่น เอ้น เอ๊น เอ๋น


            สวัสดีฮ่ะ หลานๆ วัยใสทั้งหลาย  วันนี้ป้าตุ๊ติ๊ มีเกร็ดปลา ไม่ช๊าย.. เกร็ดความรู้ เหมาะสำหรับหลานๆ วัยเอ็น1มาฝากฮ่ะ (เอ็น Trance นะ ไม่ใช่เอ็นอย่างอื่น อย่าคิดเลยเถิดน๊าาา..) หลานๆ ที่ยังไม่ถึงคราวเอ็นก็ฟังๆ ไว้ก็ได้ฮ่ะ ไม่คิดตังค์ ส่วนหลานๆ ที่โดนเอ็นมาแล้น2 ก็.. ถ้าติดใจ อยากเอ็นใหม่ก็นำไปใช้ก็ด๊าย.. ไม่ว่ากานนน3.. (ย้ำอีกทีว่าเอ็น Trance นะฮะ)
            อีกนิดหนึ่ง สำหรับคนที่กำลังเอ็น ถ้าเอ็นแล้วไม่ติด เพิ่งมาอ่านเจอเกร็ดเอ็นป้าตุ๊ติ๊ตอนนี้ ก็สามารถเก็บไว้ใช้เอ็นปีหน้า .. รับรองติดแน่นอน  ..ไม่เชื่อลองเอ็นดู (อ๊ะ)
            เอาล่ะ วัดภบท มานาน (อารามภบท4แหะๆ ติดมุขตลกการตลาดมาจากทีวีทุกช่องที่มีรายการตลกอ่ะ) เข้าเรื่องของเอ็นกันดีก่าาา5..
Pre – Proฯ เอ็น
            ย่อมาจาก Pre – Production Entrance ซึ่งเป็นสำนวนเชิงกระบวนการของการทำงานตามองค์กรที่ผลิตสื่อประเภทต่างๆ มักใช้ เช่น การประชุม Pre-Proฯ สรุปงานก่อนการผลิตจริง เป็นต้น (ในย่อหน้านี้ ต้องจีบปากจีบคออ่าน ถึงจะได้ฟิลล์)
            ขั้นแรก            Pre – Production Entrance เตรียมตัวเอ็น  อันนี้หลานๆ ต้องรู้ตัวรู้หัวรู้ใจก่อนว่า อุเหม่.. เราถึงวัยเอ็นแล้วเหรอเนี่ย ชีวิตนักเรียนมัธยมหน้าอ่อนกำลังจะจากไป.. กรี๊ด”  เราจะรู้สึกตัวขึ้นมาทันใด ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับตัวแต่ละคนว่าจะใช้ความสำคัญกับไอ้การเอ็นมากน้อยแค่ไหน..
            บางคนที่มักเอ็นติดม๋ 6 (แป้ดสาด7) ก็มักจะรู้สึกตัวก่อนคนอื่นซักปี หรือ 2 ปี บาง
คนที่เอ็นติดศิลป์หรืองานช่างที่ต้องใช้ทักษะความชำนาญและความถนัดมากกว่าความจำก็อาจจะรู้สึกตัวช้ากว่าคนอื่นอยู่หลายขุม แต่ถ้าพวกที่มารู้สึกตัวอีกทีว่า พรุ่งนี้เอ็น อย่างนี้แม่งได้โควต้ามาตั้งแต่ม.6 ช่างแม่ม8มัน.. ปล่อยมันไป..
            เพราะงั้นเราควรจะรู้สึกตัวที่จะเอ็นก่อนแต่เนิ่นๆ ยิ่งมีเวลาเกียม9ตัวมากกว่าคนอื่นยิ่งได้(เอา) เปรียบชาวบ้าน..
            วิธีเกียมตัว      
1.            เกียมร่างกายให้แข็งแรง  อย่าให้ป่วยไข้ได้เจ็บ  กินแต่ของดีๆ (เหมือนขุนหมู
ให้อ้วนก่อนฆ่าไงงั้น) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจำ (ถ้าเป็นพระ จะจำเก่ง .. จำวัดไง)
2.            นอนพักผ่อนบ้าง  อันนี้ไม่ควรต่ำกว่า 4 ชม. ต่อวัน เพราะการนอนหลับเป็นการเพิ่ม O2 ให้กับสมองเพื่อทำความสะอาดหรือ ReFresh สมองเพื่อจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และเพื่อให้สมองได้พักชั่วคราว ไม่แนะนำให้ตะบี้ตะบันอ่านหนังสือจนน็อคไป เพราะมันจะเข้าไปในหัวน้อยมาก และเสียเวลาต้องมาอ่านใหม่หมด ดังนั้นจึงควรอ่านหนังสือแบบสบายๆ โปร่งๆ โล่งๆ คิดตาม ทำความเข้าใจกับบทเรียนและเนื้อหาอย่างถ่องแท้
2.1        ถ่องแท้อย่างไร  ลองสังเกตุง่ายๆ เวลาคนเราดูหนังในโลง10 ทำไมเรา In กับหนังมาก  ก็เพราะว่าเรามีสมาธิ  จดจ่อกะมัน และมีอารมณ์ที่อยากจะดูหนัง  ลองดูวิธีเดียวกัน อ่านหนังสือ หยิบคณิตศาสตร์ สุดโหดโคตรเกลียดขึ้นมา แล้วทำท่ากระหายใคร่อยากรู้กับมัน แล้วค่อยๆ ตีโจทย์ เป็นฉากๆ ไปเหมือนกับหนัง อันไหนอ่านแล้วไม่ get ก็ทำความ get กะมันให้ได้  ท่องไว้ กูต้อง get แล้วตั้งหน้าลุยกะมันให้จบ
3.            คำนวณระยะทาง   ก่อนจะลุยอ่านหนังสือ ลองเอามันทั้งหมดที่ต้องอ่านออกมากองรวมๆ กันไว้ แล้ววางแผนจัดการกะมันก่อนด้วยว่า ตอนนี้มีหนังสือที่ต้องอ่านให้เสร็จก่อนเข้าห้องเอ็น  อยู่ แปดแสนเก้าหมื่น 7 พันกว่าเล่ม ซึ่งมีเวลาอ่านก่อนเอ็น 6 เดือน ต้องอ่านให้ได้เดือนละแสนกว่าเล่ม ตกวันนึงก็ 3 หมื่นเล่ม วันหนึ่งต้องอ่านให้ได้กี่ชั่วโมง นอนกี่ชั่วโมง และวันไหนต้องทำอะไรบ้าง เพื่อว่า เราจะได้ประเมินตัวเองได้ว่า เราไหวไหม เต็มที่หรือยัง และจะได้แน่ใจว่าไม่ได้อ่านตกหล่นอะไรไป
4.            แบ่งเวลา  นอกจากกินกะนอนแล้ว ในระหว่างการเสพตัวอักษรเข้าสู่ฮาร์ทดิสก์สมองของหลานๆ นั้น ป้าตุ๊ติ๊ แนะนำว่า ควรจะหาวิธีผ่อนคลายสมองบ้าง อย่างเช่น เดินไปหาแม่ อาสาล้างจานที่หนอนขึ้นมากว่า 2 อาทิตย์ หรือ ขออนุญาติให้เจ้าตูบพาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะบ้างก็ได้ เพื่อที่เราจะได้พักสมอง สักแป๊บหนึ่งบ้าง ก่อนที่มันจะแฮ้งค์ เพราะทำงานหนักจนเกินไป
5.            รับสื่อ(สาร) อื่น ๆ บ้าง   นอกจากหนังสือโป๊ เอ๊ย.. หนังสือเรียน ที่ต้องอ่านก่อนเอ็นอยู่แล้วนั้น ก็ควรจะต้องเปิดหูเปิดตา รับสื่ออื่นๆ ไปด้วย เช่น มีเวลาหยิบ POPTEEN ขึ้นมาอ่านบ้าง , ดูหนัง , ฟังเพลงบ้าง แต่ไม่ใช่ทำทุกวัน หรือถี่จนไม่มีสมาธิหรือกะจิตกะใจที่จะกลับมาอ่านหนังสือต่อ แต่ต้องทำเพื่อออกกำลังกายต่อมสมอง ให้ยังคงทำงานปกติต่อไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้ขาดต่างหาก
6.            ยิ้มรับ  ข้อต่อไปที่ต้องระวังคืออย่าให้เกิดความทุกข์ในจิตใจขึ้นมาเด็ดขาดเพราะความทุกข์ อารมณ์ เศร้า เหงา โกรธ หงุดหงิด จะนำพาให้สมองส่วนความจำและการรับรู้เสื่อมสมรรถภาพ (ทางpage) และจะพาลทำให้เราไม่มีอารมณ์ที่จะอ่านหนังสือขึ้นมาซะอีก เพราะฉะนั้น ยิ้มกันไว้เถิด  เราเกิดร่วมแดนไทย ..
7.            STOP   ข้อนี้ที่ป้าตุ๊ติ๊กำลังจะแนะ รู้สึกว่าเสี่ยงกับการโดนตบติดเน็ทมาก จะให้หยุดอะไรไม่หยุด เอือก (ตุ๊ดด..) จะให้หยุดเรื่องรัก  อาจจะทำให้หลายคู่ต้องเลิกร้างต่อกันไปตอนช่วงเอ็น เพราะอ้างว่าจำมาจากเคล็ดเอ็น ของป้าตุ๊ติ๊  ไม่จริ๊ง ไม่จริง ถ้ารักกันจริง  เอ็นกันเสร็จ ก็มาคบกันใหม่ ก็ด๊ายยย.. แต่ที่ให้เลิกกันก่อนก็เพราะว่า อนางอ (เอ๊ย! อนาคตเป็นสิ่งสำคัญ หลานๆ ควรจะคิดถึงอนาคตของตัวเราเองก่อน และเรื่องเรียนของเด็กวัยเรียนก็ควรจะเป็นเรื่อง อันดับแรกที่อยู่ในหัว รองลงมาก็.. ไม่ว่ากัน .. ใครจะเอาแฟน เอาเพื่อน ไว้(เอา)ทีหลัง ..  แต่ถ้าจะให้สังเกตุจากสถิติ Freshy ในมหาวิทยาลัยชั้นสูงของเมืองไทย ร้อยละ 99 บอกรุ่นพี่ตอนประชุมเชียร์ว่ายังไม่มีแฟนทั้งน้านนน..
เพราะฉะน้านน.. คนไม่มีแฟนของพี่เบิร์ดมักจะมีสมาธิในการอ่าน
หนังสือดีกว่าพวกกระเป๋าแบนแฟนทิ้งของเอกราช สุวรรณภูมิ เพราะบางเรื่องที่
รกสมอง เราก็จำเป็นต้องตัดออกไปบ้าง  คนไม่มีแฟนก็จะห่วงแฟน คิดถึงแฟน ทำให้เหลือสมองคิดงานเหลือพื้นที่เล็กลงไปกว่าที่น่าจะเป็น แต่ไม่ได้หมายความว่า เลิกกันแล้ว จะไม่เป็นเพื่อนกันตลอดไป ไม่ได้โหดร้ายขนาดน้านนน.. ก็ยังรู้จักกัน เพียงแต่ว่าเราอาจจะเจอกันน้อยลง และทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสือมากขึ้น
            และนี่ก็เป็นเพียงแค่เคล็ดเล็กเคล็ดน้อย ของคนวัยที่ประสบความสำเร็จในการโดนเอ็นมาแล้ว แค่แนะนำ บอกเล่า ไม่ได้บังคับว่าวิธีที่กล่าวมาจะถูกต้องที่สุด แต่เพื่ออยากให้วัยเอ็นได้นำไปคิดต่อและพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมตัวทำการใหญ่ เพื่อให้ได้มาซึ่งจุดหมายและสิ่งที่มุ่งหวัง เท่านั้น  ..
            ลองทำดู  .. เพราะถ้าทำถึงขนาดนี้แล้วยังเอ็นไม่ติดอยู่ก็ไม่ต้องเสียใจ พยายามทำตัวให้สวยหล่อเข้าไว้ แล้วตัดสินใจเบนเข็มมุ่งหน้าเข้าสู่วงการบันเทิงแม่มเลย .. หาเงินก่อน  ปีหน้าฟ้าใหม่ ก็เตรียมตัวให้พร้อมมากขึ้น เอ็นใหม่ ก็ยังไม่สาย ถ้ารักคณะนี้ มหาลัยนี้จริงๆ นะ แต่ถ้าไม่ยึดกับมหาลัยนิยม เรียนที่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก มันขึ้นอยู่กับตัวเราตั้งใจจริงหรือเปล่า ถ้าพ่อแม่รวยก็เรียนเอกชนมันซะเถอะ   ยังไงก็ได้ความรู้เหมือนกัน แต่ติดอยู่แค่ที่ว่า .. เอ .. เราจะจ่ายแพงกว่าทำมายยย..

Written by  Nongnarunart 7/12/2001


**แก้คำผิด**
1 เอ็นท์ทร๊านซ์  2 แล้ว  3 กัน  4 อรัมภบท  5 กว่า  6 หมอ  7 แพทย์ศาสตร์  8 แม่ง  9 เตรียม  10 โรง
ปล. คนไทยต้องใช้ภาษาพ่อแม่ให้ถูกต้อง

แอบถ่ายสถานีรถไฟฟ้า


        
              เป็นภาพที่คุ้นตา หากบ้านนอกเข้ากรุงอย่างเรา วันก่อนได้ไปเที่ยวแถวสถานีรถไฟฟ้า
ตัวแทนความศิวิไลซ์ในเมืองห
ลวง หากจะบอกว่าโทรศัพท์มือถือ เป็นความจำเป็นอันดับต้นๆ ของคนกรุงเทพฯ ไปแล้ว ก็คงไม่ผิด.. เทคโนโลยีช่วยให้เราสะดวกสบายมากก็จริง แต่.. ขณะที่เรากำลังตอบเฟซบุค กดถูกใจให้เพื่อน หรือทวิตข้อความว่ากำลังทำอะไรอ ยู่นั้น เราจะรู้บ้างไม๊น๊อว่า คนรอบข้าง โลกภายนอก และเพื่อนร่วมโลกของเรา เค้ากำลังทำอะไรกันอยู่ .. เพราะขนาดถูกแอบถ่ายรูปยังไม่รู้ตัวเลย .. แต่..ต้องขอขอบคุณบุคคลในภาพ ที่ทำให้มันเป็นภาพที่มีความหมายมากมายจริงๆ ในสายตาของเรา .. ขอบคุณค่ะ ; )

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ของขวัญวันแม่

 

05.28         pm 
05.29         write by   นงนฤนารถ
 


 

คนๆ หนึ่ง เฝ้าแต่หวงห่วงคอยอยู่    

อยากจะรู้ ลูกอยู่สุขไฉน


ทุกข์หรือโศก เศร้าหรือเหงา หนาวหรือไร    

แสนห่วงใยใจแม่แกกังวัล


ไม่เคยโต ไม่เคยห่าง วางจากอก   
ไม่เคยตก ไม่ให้แตะ แม่ไม่สน

รักแสนรัก หลงแสนหลง ลูกทั้งคน   
 เหมือนต้องมนต์ คำสาป จากชาติปาง

โอ้อกเอ๋ย ลูกแม่ จะแก่เฒ่า  
แม่ยังเฝ้า เจ้ายังเด็ก เล็กนักหนา

ต้องคอยเตือน ต้องคอยสอน ป้อนวิชา   
สุขอุรายามได้อยู่ใกล้ๆ ชิด

 

แม่ต้องเหนื่อย ต้องหนัก เพราะ รักลูก  

แม้ไม่ถูก ก็ยอมพลาด ช่วยปกปิด


ให้ลูกได้ ทุกอย่าง แม้ชีวิต    
รักแม่ ..สักนิด ก่อนทุกอย่างจะสายไป ..

Thai (Flood) land ; )



...
น้ำนองเนิ่นนานหนักหนา
นาน้องน้ำนิ่งนานเนิ่น
นวลน้องนั่งนานนองเนิน
นกน้อยนาบเนินนองนา

หนูนานับหนอนนอนหนาว
นิ้วนางน้องเน่านี่หน่า
น้ำนี่นิ่งนานนมนา
น้ำน้องนองหน้าแน่นอน..

Welcome to Thai (Flood) land ; )

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สายลมแห่งไอหนาว


..สายลมแห่งไอหนาว

ค่อยๆ พัดไล่ความฉ่ำเย็นจากสายฝนให้เคลื่อนคล้อย ประหนึ่งจะประกาศว่า หมดเวลาของความสดชื่น และกลิ่นไอดินกรุ่นชื้นเสียแล้ว บัดนี้ได้เวลาของความหนาวเหน็บที่กำลังจะเวียนมาเยือนอีกครั้ง ในไม่ช้านี้ ..เป็นประจำทุกๆ ปี ไม่เสื่อมคลาย..

“ปลายฝน ต้นหนาว” วลีแห่งความรู้สึกระหว่างความสดชื่นในฤดูฝน กับการสั่นสะท้านในอกของฤดูหนาว กลายเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกเหงา อ้างว้าง และว้าเหว่ขึ้นมาจับใจ

จะหนาวก็ไม่หนาวจัด แค่ให้พอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกโหยหาในความเย็นกึ่งชื้น ที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นๆ ทุกที ถึงจะมีฝนตกก็ไม่ทันได้ชุ่มฉ่ำ แค่พอสะกิดให้ความสดชื่นได้เป็นครั้งเป็นคราว ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องปรับตัว ปรับใจ และเตรียมตัวต้อนรับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น

มองดูจากสิ่งรอบข้าง สิ่งมีชีวิตทุกผู้ทุกนาม กำลังเตรียมตัวที่จะขยายเผ่าพันธุ์ มดงานก็กำลังเร่งย้ายบ้านสร้างหลักปักฐาน แมว หมา กา ไก่ ก็กำลังไล่แอบมองกันและกัน ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตสีเขียว ที่เราเรียกมันว่า .. ต้นไม้

แม้ว่ามันจะไม่สามารถ แสดงออกทางสีหน้า แววตา และน้ำเสียงให้รู้สึกได้ เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่น แต่การที่เริ่มสลัดใบ ไล่สีเขียวให้กลายเป็นสีน้ำตาล ก็คงจะพอบอกเป็นนัยๆ ได้ว่า..ใกล้เวลาที่จะต้องทนทรมานกับวันคืนแห่งความหนาวเหน็บเสียแล้ว ..

อีกไม่นาน ความหนาวเย็นอย่างจริงจังก็จะย่างกรายเข้ามารายล้อม และเมื่อนั้น..ใครต่อใครต่างก็อยากที่จะตะเกียกตะกายหาซอกหลืบส่วนตัว ที่พอจะตอบแทนความอบอุ่นให้คลายความหนาวเย็นให้กับตัวเองลงไปได้บ้าง

สรรพสัตว์น้อยใหญ่ ล้วนต่างพยายามหาที่ซุกซอน เพื่อที่จะช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับตัวเองทั้งกายและใจ แมวน้อยที่นอนตัวพองขดอยู่ในอ้อมอกของกันและกัน มีให้เห็นอยู่เกลื่อนทั่วไปตามรายทาง กบที่กกกอดกันอยู่ในหลืบซอก ก็นิ่งสงบเงียบเกยก่ายถ่ายเทความอบอุ่นให้แก่กันและกัน ประดุจก้อนหินเย็นลื่น เจ้าหมาวัยหนุ่มขี้หนาว ก็พยายามที่จะมองหาหมาสาวเพื่อแบ่งปันความอบอุ่นเพื่อเผื่อแผ่กันและกัน เช่นเดียวกันกับต้นไม้ที่เขียวไม่สด ซึ่งขดม้วนตัวอยู่ในความชื้น หรือจะเป็นต้นไม้สีน้ำตาลที่เด่นตระหง่านท้าลมหนาว แต่ข้างในแห้งเหี่ยว เหน็บหนาวจนทรมาน หากมีใครมอบความอบอุ่นให้กับมันได้บ้าง มันก็คงจะได้คลายหนาวขึ้น

..ความหนาวเหน็บ ทำให้เราอยากที่จะเสาะหาความอบอุ่นให้มากขึ้น..
..ความอบอุ่นจึงเป็นความสุขประหลาดอย่างหนึ่ง ที่ใครต่อใครอยากจะไขว่คว้าหา ..
..การแบ่งปันความรู้สึกซึ่งกันและกันของสิ่งใดสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง คือความอบอุ่น..
และ ..ความอบอุ่นเป็นการสัมผัสผิวกับสิ่งหนึ่งเพื่อปกป้องผิวจากความหนาวเย็นที่จะตกมากระทบ
กับอีกสิ่งหนึ่ง..

ใช่ .. ความอบอุ่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้มันขาดหายไป..

..เพราะความอบอุ่น นำมาซึ่งความรู้สึกดีซึ่งกันและกัน ..

ซึ่งอีกสิ่งหนึ่งของความอบอุ่นที่ขาดไม่ได้ คือ มิอาจห้ามไม่ให้เกิดความรู้สึก “รัก” ขึ้นมาได้

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดความรู้สึกหนาว แล้วต้องการความอบอุ่น แต่ .. คงแปลกพิลึก ถ้ารู้สึกหนาวแล้วต้องการความอบอุ่น แต่ไม่ได้หาความอบอุ่นให้กับตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นผ้าผวยราคาไม่ถึงร้อยบาท หรือจะเป็นผ้านวมขนสัตว์ราคาเหยียบแสน ที่พอได้บรรจงคลุมกาย ก็ทำให้ร่างกายได้รับความอบอุ่นเหมือนๆ กัน ต่างกันแต่เพียงแค่ผิวสัมผัสของผิวผ้ายามที่ต้องกับผิวกายเท่านั้น ความลื่นเนียนแผ่ซร่านความรู้สึกร้อนผ่าวที่ขึ้นในใจอย่างช่วยไม่ได้ ความรู้สึกเป็นสุข อิ่มเอมใจเป็นสิ่งที่น่าจับต้อง แต่ถ้าต้องการประโยชน์ใช้สอยเพียงแค่ความอบอุ่น สำหรับผิวสัมผัสบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีความหมาย แต่สำหรับคนที่ไม่เคยห่มผ้าใดๆ เลย ก็ย่อมไม่มีวันได้รับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นภายใต้ผ้าห่มผืนใดในโลก ..

และในฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนปีนี้ ถ้าได้ไออุ่นจากอกอุ่นๆ ของคนที่ดูอบอุ่น คงทำให้ไม่รู้สึกถึงความหนาวใด ความหนาวที่ว่าทรมาน ก็จะเป็นแค่เพียงความเย็นสบายจากสายลมที่พัดผ่านมา และไม่ว่าใช้ผ้าห่มผืนใดๆ ก็ตาม ก็คงห่มได้ไม่อุ่นเท่าไออุ่นที่เกิดจากอุ่นไอของความรักไปได้ ..

เรามาหาผ้าห่มวิเศษที่ทำให้เราอุ่นขึ้นในช่วงหน้าหนาวนี้กันเถอะค่ะ .. : )

เหรียญ มี 2 ด้าน (Coin has 2 sides)




ในโลกนี้ทุกสิ่งอย่างมี 2 ด้าน
มีธรรมะก็ต้องมีมาร มีแดงก็ต้องมีเหลือง มีบวกก็มีลบ มีดีก็ต้องมีเลว แต่ว่า...เราจะตัดสินใจได้อย่างไรว่าอะไรเลวน้อยอะไรเลวกว่า มีหรือคนที่ไม่มีความเลวในตัวเลย  ทุกวันนี้สังคมเสื่อมลงทุกวัน เราจะอยู่อย่างไรท่ามกลางความเสื่อมนี้  การจะเลือกอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราเลือกถูกข้าง ใช้ปัญญานำทาง อย่าใช้ปากนำทาง คนเลวบางคนสุดท้ายก็เป็นคนดีได้ เช่นกัน คนดีบางคนอาจจะเป็นคนเลวได้ แต่อย่าให้ใจเราเลว อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น จงเชื่อในสิ่งที่รู้สึก  ด้วยมาตรฐานของจิตใต้สำนึกของเราเอง  .. สุดท้ายใครจะได้ ใครจะเป็นก็ขึ้นอยู่กับกรรม ใครทำอะไรไว้ มันจะตามทันในไม่ช้า และจิตใจก็จะไม่เป็นสุข มันจะร้อนรุ่ม คนทำความดีมันจะได้ดีเอง .. ต้องรอดูกันต่อไป

ว่าเราจะเลือกมองนางฟ้า หรือ เลือกที่จะเห็นซาตาน :)

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

วิธีรับมิือกับส่้วมตัน ท่อตัน ก่อนต้องเสียเงินเรียกช่าง

เมื่อส้วมตัน ท่อตัน


วิธีการมีดังนี้

เทโซเดียมไบคาร์บอเนต (baking soda) ไปประมาณครึ่งแก้ว แล้วเทน้ำส้มสายชู (vinegar) ไปอีกครึ่งแก้ว ทิ้งไว้ประมาณสิบห้านาทีแล้วเทน้ำร้อนเดือดๆ ตามลงไปเยอะพอประมาณ


รอดูไปสักพัก สารเคมีกำลังทำปฎิกริยากับสิ่งตกค้างในท่อ

ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมง คุณจะพบว่าท่อโล่งน้ำไหลได้อย่างสะดวก

เป็น วิธีง่ายๆ ที่เราสามารถทำได้ในการล้างท่อน้ำทิ้งโดยไม่อันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
ข้อมูลจาก ดร.ธวัชชัย ปิยะวัฒน์   http://gotoknow.org/blog/averageline/91617 


ประโยชน์ของ  เบคกิ้งโซดา


โซเดียมไบคาร์บอเนต Sodium bicarbonate)หรือ โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตรู้จักทั่วไปในชื่อ เบคกิ้งโซดา และ ไบคาร์บอเนตออฟโซดา มีลักษณะเป็นผลึกสีขาวที่ละลายน้ำได้ดีมีความเป็นด่างเล็กน้อย


เมื่อทำปฏิกิริยากับกรด จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำออกมา และที่อุณหภูมิสูงกว่า ๖๐ องศาเซลเซียล มันจะสลายตัวให้ โซเดียมคาร์บอเนต น้ำ และคาร์บอนไดออกไซด์


โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate)หรือ (Bicarbonate of soda) มีประโยชน์ดังนี้


1.น้ำยาล้างสารพิษจากผักและผลไม้ นำเบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 10 ลิตร แช่ผักผลไม้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า 2 ครั้ง สามารถลดสารพิษได้ 90%


2.น้ำยาดับกลิ่นปาก ผสมเบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะ ในน้ำ 1 แก้ว ดับกลิ่นหอมกลิ่นกระเทียมได้ ถ้าใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 1 แก้ว และผสมเกลือ 1 ช้อนโต๊ะใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากได้


3.ขัดฟันให้ขาว นำเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชาผสมน้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา ใช้แปรงสีฟันจุ่มแล้วขัดฟันเบาๆ บ้วนน้ำเปล่าจนสะอาด คราบชากาแฟจะหายไป (ห้ามทำเวลาป่วย เพราะมะนาวใกรดสูงอาจทำลายเคลือบฟันได้)


4.น้ำยาล้างคราบในกาน้ำชาที่เป็นโลหะ ใส่น้ำลงในกาน้ำชาแล้วเติมเบกกิ้งโซดาลงไป 2 ช้อนโต๊ะ บีบน้ำมะนาวลงไปครึ่งลูก ต้มราวๆ 15 นาที ขัดและล้างจะสะอาดง่าย


5.ครีมลบรอยขูดขีดเครื่องครัว ละลายเบกกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 1 ลิตร ทำความสะอาดเครื่องคัวที่ทำด้วยฤอร์ไมก้า สเตนเลส พลาสติก โครเมี่ยม (ยกเว้นอะลูมิเนียม) ริ้วรอยจะเลือนหายไป


6.น้ำยาทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์ เทเบกกิ้งโซดา 1/2 กล่องลงในถังนำหลังชักโครก ทิ้งไหว้ 1 คืนแล้วค่อยกดชักโครก ถังและชักโครกสะอาดและปราศจากกลิ่น


7.ยาดับกลิ่นท่อและแก้ท่อตัน แทเบกกิ้งโซดาลงไปในท่อ 1 ถ้วยก่อนแล้วใส่เกลือแกงลงไป 1/4 ถ้วย ตามด้วยน้ำร้อน ท่อจะไม่ตันและกลิ่นสะอาดอีกด้วย


8.น้ำยาทำความสะอาดเตาไมโครเวฟ นำเบกกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 1 ลิตร นำผ้ามาชุบแล้วเช็ดทำความสะอาดภายใน คราบสกปรกจะเช็ดออกง่าย


9.น้ำยาดับกลิ่นพรม ผสมเบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วยกับแป้งข้าวโพด 1/2 ถ้วย หยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นโปรดลงไป 15 หยด ใส่ขวดสเปรย์ฉีดบนพื้นพรมก่อนนอนทิ้งไว้จนเช้า กลิ่นพรมจะสะอาดสดชื่น


10.น้ำยาซักผ้า ใส่ผงเบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วนในเครื่องซักผ้าพร้อมกับน้ำยาซักผ้า จะทำให้ผ้าขาวและสีจะสดขึ้น


(ข้อมูลจาก วิถีพีเดีย และ http://rueanthai2.lefora.com/2009/01/03/20090103051441/)

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

ค ว า ม สุ ข.. ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ..

ค ว า ม สุ ข..
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ  ..

มั น เ กิ ด จ า ก ส่ ว น ลึ ก ภ า ย ใ น 

ส่ ว น ที่ ไว ต่ อ สั ม ผั ส ค ว า ม รู้ สึ ก .. อ บ อุ่ น ลึก อ ยููู่ ข้ า ง ใ น

 















มันมีความร้อน ไออุ่นๆ แผ่ซ่าน ออกมา
เหมือนมันมี ป ร ะ จุ ไ ฟ ฟ้ า กำ ลั ง เ ดิ น อ ยู่ ใ น ตั ว เ ร า




มั น คื อ ค ว า ม รู้ สึ ก จ า ก ไ อ อุ่ น แ ห่ ง รั ก 
ไม่ว่าจะเป็นคนที่รัก เพื่อน พี่ น้อง หรือคนรู้จัก
คนที่เวลานั่งพักอยู่ใกล้ๆ แล้วรู้สึกปลอดภัย
ไม่มีความระแวงใดๆ  ไม่มีอคติ ไม่มีคำว่า ไม่เชื่อใจ
อยู่อย่างสบายใจ ไปไหนไปกัน 

 ข อ เ พี ย ง แ ค่ เ ปิ ด ใ จ    
ไ ข กุ ญ แ จ ทุ บ กำ แ พ ง 
ที่ ม อ ง ไ ม่ เ ห็ น อ อ ก ไ ป
ทุบทิ้งไป อย่าใส่ใจ ช่างมันปะไร มันก็แค่เสียฟอร์ม

 

 แต่ สิ่งที่รู้ได้ คือ ค ว า ม อ บ อุ่ น ใจ  

เ กิ ด ขึ้ น ข้ า ง ใ น หั ว ใ จ เ ร า เ อ ง

 

 THAT IS THIS LOVE...

... and THAT IS THIS LOVE ..

THAT IS THIS LOVE...

... and THAT IS THIS LOVE ..

 

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

สะบายดี เวียงจันทร์ ความประทับใจที่ไม่ควรไปคนเดียว

สะบายดี เวียงจันทร์

ความประทับใจที่ไม่ควรไปคนเดียว 


สิ่งแรกที่คนนำทางพาเราไปเมื่อถึงเวียงจันทร์ คือ ประตูแห่งชัยชนะ ประตูเมืองเวียงจันทร์



หลังจากนั้นก็ไปเสริมศิริมงคลด้วยการไหว้พระขอพร ที่วัดศรีสะเกด


วัดนี้เข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนเราทะลุมิติย้อนเวลากลับไปสัก 200 ปี เหมือนเข้าไปอยู่ในหนังเจ้า 
จักรๆ วงศ์ช่อง 7 ตอนเช้า


หลายสิ่งหลายอย่างสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มขลังของวิถีอารยธรรม
 
เราสักการะพระประธานในโบสถ์ ด้วยบายสีคู่


ทำจากเทียนหล่อเป็นดอกๆ คล้ายรังผึ้ง


ใช้อธิษฐานขอพร สะเดาะห์เคราะห์ ขอคู่








 หรือถ้าขอพรทั่วไป ก็ชุดเล็ก
ตามรูป
ถาดธูปเทียน ดอกไม้ ขอพร ชุดเล็ก จะเห็นวางเรียงกันเต็มพื้นโบสถ์  พอธูปหมดไปครึ่งนึง ก็จะมีเณรมาเก็บไป 




 ส่วนผลไม้ กล้วย มะพร้าว ต่างคนต่างเอามากันเอง  หรือซื้อต่างหาก มีแม่ค้าขายอยู่ในวัด  ไหว้เสร็จ
ก็ลากลับบ้านเอาไปกินแล้วโชคดี

 

                                                                  แล้วเราก็ไปตลาด
ดูๆ ภายนอกแล้ว เหมือนไม่ต่างจากตลาดต่างจังหวัดบ้านเรา 



แต่.. พอเดินเข้าไปข้างใน
มันไม่เหมือนบ้านเรา





 คนที่นี่ชอบกินแมลง  มีขายเยอะมาก และถูกมาก
ไม่ว่าตั๊กแตน จั๊กจั่น แมงอะไรไม่รู้ เยอะไปหมด
 

หอมใบมะกรูด ทอดกรอบ
ดูน่ากินเหมือนกันแฮะ
ถ้าจำไม่ผิด เหมือนว่าจานละ 10 บาท บ้านเรา แต่เป็นเงินกีบ ก็หลายพันอยู่






































 มีปลาแม่น้ำโขงมากมาย ราคาถูก 
แถมยังสด และเนื้อหวานมากด้วย













 และที่ขาดไม่ได้ คือ ไข่มดแดงอันโอชะ
 














สาวๆ นุ่งซิ่นมีให้เห็นทั่วไป  น่ารักมาก


ร้านขายผ้าซิ่นก็มีมากมาย 
ผ้าทอราคาถูก คุณภาพดีทั้งนั้น
ต่อราคาได้













 
ไม้แกะสลักที่ส่วนใหญ่เป็นไม้หอม กฤษณา ที่ในไทยห้ามซี้อขาย แต่ที่นี่ ราคาถูกมาก..กก โดยเฉพาะเส้นทางออกนอกเมือง จากเวียงจันทร์ไปวังเวียง มีร้านแกะสลักไม้ริมถนนให้เห็นมากมาย


และสำหรับคนที่ชอบเครื่องเงิน 
ที่ลาวมีให้เลือกมากมาย ราคาถูกกว่าไทยครึ่งต่อครึ่ง แต่ต้องต่อราคาดีๆ







เฝอ หรือก๋วยเตี๋ยวน้ำแสนอร่อย 
ที่กินกับหอมแดง มะนาว ถั่วงอกและน้ำพริกเผา 
ต้องลองเองแล้วจะรู้ถึงความแซ่บ

ราคาชามละ 40 บาท ถือว่าแพงสำหรับคนลาว เพราะค่าครองชีพถูกมาก ขนาดผู้จัดการโรงแรมอาวุโส ยังได้เงินเดือนแค่ 5000 เท่านั้นเอง





ความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนที่เวียงจันทร์ จะยังคงอยู่ตลอดไป








.. หากเว้นแต่ว่า "คำสัญญา" ต่างหาก ..ที่ถูกลืม ..