Text by : Nongnarunart Phraichitr
วันสุข [ F r i
d a y ]
มีไม่กี่ศุกร์หรอกที่รู้สึกอิสระมากกว่าปกติ
ร่าเริงมากขึ้น สนุกมากขึ้น อย่างศุกร์ที่ผ่านมาพอรู้ตัวเองว่าอยากจะพัก
คืนวันศุกร์ก็เลยกลายเป็นวันต้องสุข ถ้าอยู่ไม่สุขก็ต้องทำให้เป็นวันที่มีค่าอย่างน้อยถ้าได้งาน
หรือทำงานได้ ก็ถือว่าเป็นสุขอย่างหนึ่ง
เย็นวันศุกร์ เป็นวันสุดท้ายของปลายสัปดาห์ของการทำงาน ที่ทุกๆ
คนในออฟฟิศพร้อมใจกันสร้างความเงียบสงัดให้กับออฟฟิศราวป่าช้าตั้งแต่เวลาเพียงทุ่มกว่าๆ
ตรงกันข้ามกับวันแรกๆ ของสัปดาห์อย่างจันทร์ อังคาร
ทั้งบรรยากาศรอบข้าง ความมืดที่รายล้อม
ความเงียบเหงาค่อยๆ
กระชากฟิลล์ที่กำลังเบื่อกับงานตรงหน้าอย่างเป็นใจด้วยเสียงหวอขอความช่วยเหลือจากโทรศัพท์มือถือที่วันดีคืนดีหน้าจอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เฮ้ย .. ยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอวะ นึกว่าทำงานจนตายไปแล้ว ” เสียงเพื่อนกัดมาตามสายโทรศัพท์ จนเสียวแปล๊บเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
“เออว่ะ .. จนบางที
ก็ลืมไปเลยว่า มีเพื่อน ไม่โทรมาซะเที่ยงคืนเลยล่ะแม่คู๊ณ!!” เราเลยตอบเพื่อนไปตามสันดานกัดทีเล่นทีจริง
เพราะบางทีการที่เราหมกอยู่กับงานตรงหน้าที่ติดพัน
ทำให้บางครั้งก็ลืมคิดถึงเรื่องอื่นๆ ไปโดยปริยาย ยกเว้นแต่จะมีบางสิ่งที่คุ้นเตือนความทรงจำ
หรือบางสิ่งให้ระลึกถึงความรู้สึกย้ำคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ค้างอยู่ในหัวใจนานๆ
อย่างเช่นเวลานี้
“เออๆ เพื่อนเก่ามันเริ่มขึ้นสนิมแล้ว
จะไปสู้ของใหม่ได้ไง เพื่อนใหม่มันปรนเปรอความสุขให้จนลืมเพื่อนเก่าแล้วล่ะซี”
เสียงแหลมแจ๋วๆ
บาดหูได้เจ็บจริงๆ สันดานยังเหมือนเดิม
ไอ้เพื่อนคนนี้ ‘กัดไม่ปล่อย
ต่อยไม่ให้ตั้งตัว’
“โอเคๆ ยอม มีอะไรให้รับใช้..”
“เฮ้ย! นับวันยิ่งทำตัวเหมือนเซเว่นนะแก
ทำงานตลอด 24 ชม. นี่มันก็ตั้งสี่ทุ่มแล้ว
และวันนี้ก็เป็นวันสุขนะเว๊ย ถ้าเป็นวันจันทร์ชั้นก็คงไม่โทรหาแกหรอก เพราะฉะนั้น ..
ออกมาแหวกเบียร์กะชั้นเดี๋ยวนี้ ..”
วันสุข เป็นอันรู้กันว่า คืนวันศุกร์สนุกแน่ ส่วนวันเศร้า
ก็จะมักเป็นวันเสาร์ (เสียงอาจเพี้ยนนิดหน่อย)
เพราะวันเสาร์มักอยู่บ้านหรือมักไม่ได้อยู่กับเพื่อน
“เอ่อ
..”
“
P L E A S E.. ” น้ำเสียงเว้าวอนอ้อนมาตามสาย
จนสามารถทะลายกำแพงความรับผิดชอบชั่วดีทั้งหลายแหล่จนเริ่มกระเจิงได้
“ ก็อยากอยู่ แต่ก็ไม่รู้จะไปสุขกะใคร ไอ้เรามันไม่มีแฟน
คนมีแฟนเค้าก็ต้องอยู่กับแฟนเค้าสินะ เพื่อนมันต้องมาทีหลัง ” ใจหนึ่งที่ลิงโลดอยากกระโดดออกไปสนุกเดี๋ยวนี้ กัดตอบเพื่อนไป ทั้งๆ
ที่รู้ตัวว่าสิ่งที่พูดออกไป เราเป็นฝ่ายเจ็บลึกอยู่ในใจ
“ ไม่ต้องมาจิกเลย ออกมาเดี๋ยวนี้ จะมาไม่มา พวกชั้นอยู่ซอย 4
ร้านสีขาว ออกมาเลยนะ อย่าให้รอนาน เดี๋ยวตามไม่ทัน ไม่รู้ด้วย
ยิ่งไม่ได้เจอกันนาน ไม่รู้ว่าเพื่อนเรายังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า”
แน๊ .. ยังหยอดลูกแ_ก ตบท้ายอีกดอก สุดยอดเลยเพื่อน ไม่รู้จะคบด้วยดีหรือเปล่าเนี่ย
แน๊ .. ยังหยอดลูกแ_ก ตบท้ายอีกดอก สุดยอดเลยเพื่อน ไม่รู้จะคบด้วยดีหรือเปล่าเนี่ย
เพื่อนมันวางสายไปแล้ว
แต่เรายังไม่สามารถตัดสินใจได้เลยว่าจะไปหาพวกมันดีหรือเปล่า
เพราะงานตรงหน้าก็ยังไม่เสร็จ
เหลือบมองดูเวลาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ บอกเวลา 4 ทุ่ม
จู่จู่นางฟ้าส่วนคุณธรรมหน้างอออกมาต่อว่า
“อายุเท่าไหร่แล้ว
จะทิ้งงานไปเที่ยวสนุกไม่ได้นะ ต้องทำงานให้เสร็จก่อน
ถึงแม้จะรู้ว่าไม่เสร็จอยู่ดี แต่ก็ควรจะทำให้เต็มที่จนกว่าจะไม่ไหวแล้วกลับไปนอน
ไม่ใช่ไปเที่ยวต่อ”
อีกด้านหนึ่งของแสงสี
ปิศาจสุราหุ่นเซ็กซี่ยั่วยวน ออกมาทักทายด้วยรอยยิ้มหวาน
“เพื่อนอุตส่าห์คิดถึง
ไม่ได้เจอกันร่วมปีแล้วไม่ใช่เหรอ
เค้าคงเสียใจแย่
แต่งานนี่เห็นทำทุกวันเลย ลำเอียงจังนะ”
เสียงสองสาวในมโนสำนึกทะเลาะตบตีกันเสียงดังลั่นอยู่ในหัว
ขณะที่สายตายังไม่ละจากงานตรงหน้า มันยังคงดำเนินอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้อารมณ์
“ทำงานไปเถอะ วันหนึ่งก็ต้องมีคนเห็นความดี
พอวันนั้นมาถึงเราจะรู้ว่าที่เราเหนื่อยมาน่ะมันไม่เหนื่อยฟรีหรอก
มันต้องมีสิ่งดีๆ เข้ามาสักวัน” นางฟ้ายิ้มหวานรักษาฟอร์มนางเอกได้อย่างแนบเนียนค่อยๆ กระซิบเบาๆ ข้างๆ
หู
เวลาผ่านไปอีก 5 นาที
จิตใจเริ่มกระสันต์หวั่นไหว สายตาเหลือบดูเวลาที่ค่อยๆ
เดินผ่านไปตรงหน้าสลับกับงานที่ยังคงทำต่อเนื่อง เริ่มมีความถี่มากขึ้น
ประหนึ่งว่าอยากจะเร่งให้จบๆ ไปให้ไวๆ
ปิศาจฝั่งด้านมืดเดินลอยหน้าลอยตาออกมายั่วยวน
“ใครต่อใคร เค้าก็ไปเที่ยวกับแฟน
บ้างก็อยู่กับแฟน แต่คนที่ไม่มีแฟนต้องทำแต่งาน หวังจะเอาหน้าที่การงานมาทดแทน
เชอะ..”
อยากจะเอาหมอนฟาดปากอีนังปิศาจปากบอนซะนี่จริง
ๆ อีนี่อ้าปากทีไร คำพูดมันทิ่มแทงจิตใจเราให้เจ็บปวดทุกที
จนกระทั่งเทพแห่งโชคชะตาที่คงแอบดูอยู่นาน
อดรนทนไม่ไหว ฟันธงลงมา ให้เครื่องคอมพิวเตอร์และงานที่ทำตรงหน้าต้องมีอันเป็นไป
“เครื่องแฮงค์ ฮาร์ดดิสต์เต็ม
ข้อมูลบางส่วนยังไม่ได้ถูกบันทึก ต้องทำใหม่”
เริ่มมีความเซ็งเกิดขึ้นนิดหน่อย
ไม่ถึงเสี้ยววินาที
บัดนั้น ในใจมันแอบไชโยโห่ร้องเหมือนดีใจอะไรสักอย่าง
อารมณ์ตอนนั้นกลับนึกขอบคุณเครื่องคอมฯ ที่มาเสียเอาเวลาที่รู้กาลเทศะอย่างนี้
จึงรี่เข้าไปปิดเครื่อง ปิดแอร์ ปิดไฟ เพื่อให้เครื่องได้พักผ่อนเต็มที่ แล้วรีบจรลีปรี่ไปที่ที่ซึ่งบรรดาสหาย ได้พำนักพักเมากันอยู่
การเดินทางจากพระราม 9 จนถึงสีลม สายตาแทบจะทำหน้าที่บอกเวลาแทนนาฬิกาได้
เพราะความเร็วที่ผกผันกับเวลาทำให้สายตาแทบจะไม่ละจากหน้าปัด
ยิ่งใช้เวลาน้อยเท่าไร ยิ่งอยู่กับเพื่อนได้นานขึ้น และจะได้ใช้เวลาแห่งคืนวันสุขได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
เวลาห้าทุ่มเศษ
เท้าก้าวออกมาจากลานจอดรถถนนสีลม สายตามุ่งหน้าไปที่ซอย 4
หยิบอาวุธในกระเป๋าสตางค์คู่กายออกมาดู
ปรากฏว่าเหลืออยู่ 300 กว่าบาท
ตายล่ะวา
ตอนนี้ห้าทุ่มกว่า
ร้านปิดตี 2 เงินในกระเป๋าต้องหักไว้
90 บาทสำหรับค่าจอดรถ ชั่วโมงละ 30 เท่ากับว่าต้องเสียเบียร์ไปขวดนึง
เดี๋ยวขากลับต้องแวะฉี่ด้วยจะได้คุ้ม
พลันสายตาเหลือบไปเห็นเซเว่นฯ ที่เปิด 24
ชม. ที่เพื่อนมันชอบค่อนแคะเรา
ก็เกิดประกายความคิดอันชาญฉลาดให้กับตัวเอง จึงเดินลิ่วๆ ไปสู่ประตูเขียวแดงนั้น
และกลับออกมาพร้อมกับเบียร์หิมะเย็นเฉียบ
ที่รสชาติหวานเจี๊ยบเมื่อซดผ่านลำคอ
เงินในกระเป๋ายังเหลือแบ๊งค์แดงอยู่
2 ใบให้อุ่นใจ
เพราะเบียร์ขวดนี้ใช้เศษเงินที่รวมๆ กันแลกมาเพื่อที่จะได้เหลือเงินไปซื้อเบียร์โพสต์ในร้านได้อย่างน้อย
ๆ 2 ขวด
พอถึงร้านเพื่อนก็ต่อว่าทันที
“ไม่มาเอาพรุ่งนี้เลยล่ะ แม่”
“มาแล้วยังดีกว่าไม่มานะเว้ย” และไม่ต้องรอให้เพื่อนชวนคำใดต่อไป
เราก็ลากเพื่อนเข้าไปสนุกสุดเหวี่ยงกันในฟลอร์ 20 เพลงรวด ไม่ต้องอธิบายสิ่งใด ไม่ต้องพูดคำหวาน
มีแต่สีหน้าและรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสนุกและเข้าใจถึงคำว่าเพื่อนที่เต็มไปด้วยความหมาย
จบไปอีกวันสำหรับวันสุขที่ไม่เคยจดจำ
ชั่วคืนที่รู้สึกว่าผิดเล็กๆ ที่ทิ้งงานมาเที่ยว แต่สุขล้นอยู่ในหัวใจ สดชื่น
กระปรี้กระเปร่าจนทำให้อนุโลมที่จะทำผิดไปบ้างได้ สมกับคำร่ำลือ สมแล้วที่เรียกค่ำคืนนั้นว่า
วันสุข
ทุกอย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นความสุข
ความเมา มิตรภาพและการจัดสรรเรื่องการใช้จ่าย
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าตัดสินใจไม่มา
แล้วนั่งทำงานต่อไป อะไรจะเกิดขึ้น.. รู้แต่ว่าวันนี้..วันเศร้า ..
THE END
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น